7 วิธีเลือกกาพ่นสีให้เหมาะกับงาน และเหมาะกับเรา
คำกล่าวที่ว่า “ มือใหม่ ใช้กาถูกๆก็พอ ไม่ต้องลงทุนเยอะ” หรือ “ มืออาชีพ ต้องกาพ่นตัวละ 2-3 หมื่นไปเลย จะได้สมกับฝีมือ” คำพูดเหล่านี้ช่างพ่นสีหลายท่านคงเคยได้ยิน และทำให้เกิดคำถามมากมาย และประกอบกับความหลากหลายของสินค้าในตลาด ทำให้ไม่ว่าจะมือเก๋าที่ต้องการอัพเกรดเครื่องมือก็จะพบปัญหาว่า เลือกตัวไหนดี ราคาแรงแต่เอามาแล้วจะทำงานได้ดีเหมือนเดิมหรือไม่ ? ส่วนมือใหม่ก็จะเริ่มไม่ถูกว่าต้องเลือกจากอะไร ราคาถูกไว้ก่อนรึเปล่า หรือเลือกที่รูปทรงก่อน ดังนั้นในบทความนี้เราจะมีพูดคุยกันในเรื่อง “ เลือกกาพ่นสีอย่างไรให้เหมาะกับงานและเหมาะกับเรา “กันครับ
1. เลือกตามความเคยชิน
จากประสบการณ์ที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับพี่ๆช่างทำสีหลายๆท่าน ผมคิดว่าหัวข้อนี้สำคัญไม่น้อย เราคงเคยได้ยินว่า สีจริง (Top coat) 1.3 มิล เคลียร์ (Clear coat)4 มิล รองพื้น (Base coat) 1.5 มิล (ตัวเลขนี้คือขนาดของหัวพ่นสี) แต่เมื่อได้พูดคุยกับช่างมืออาชีพหลายคน จะพบว่า บางคนใช้หัวพ่น 1.3 มิล อย่างเดียว ไล่งานมาตั้งแต่รองพื้น สีจริง และจบที่เคลียร์ ในขณะที่บางคนก็ใช้ 1.4 มิล ขนาดเดียวก็จบงานได้เช่นกัน ดังนั้น หากคุณเคยใช้แบบไหนมาก่อน และรู้จังหวะการปรับลม ปรับปริมาณสี และม่านสีให้เหมาะสมกับงานได้ การมองหากาพ่นตัวใหม่ ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นก็ควรยึดที่หัวพ่นเดิมที่เคยใช้ก็จะทำให้เราไม่ต้องปรับตัวมากนัก เช่น เคยใช้กาพ่นสีสตาร์รุ่น S710 ที่เป็นกาข้างขนาด 1.3 มิลมาก่อน แต่อยากอัพเกรดประสิทธิภาพ ผมก็แนะนำได้แก่ กาพ่นสีสตาร์รุ่น EVOT1F 135G ซึ่งเป็นกาข้าง ขนาด 1.3 มิล เช่นกันในระบบ HVLP (ระบบแรงดันต่ำ)
2. เลือกจากระบบของกาพ่นสี
จากบทความก่อนหน้านี้เรื่องระบบกาพ่นสีสตาร์ สามารถตามอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ครับ https://brightbizs.com/blog/ การเลือกระบบขึ้นอยู่กับว่าวัตถุประสงค์ของเราต้องการใช้ทำงานอะไร ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น
2.1 หากเราต้องการพ่นงานที่มีหน้ากว้างของพื้นผิวขนาดใหญ่ เน้นความไว เพราะต้องทำจำนวน หรือเน้นความหนาของชั้นฟิล์ม เช่น พ่นรองพื้นกันสนิม พ่นสีท้องเรือ พ่นสีเคลือบเหล็ก พ่นกาวอุตสาหกรรม ฯลฯ แนะนำเป็นระบบ High pressure หรือแรงดันสูงที่มีคุณสมบัติตอบโจทย์ในจุดนี้ครับ ได้แก่ ได้แก่ กาพ่นสีสตาร์รุ่น S710, S106, S770 เป็นต้น
2.2 หากเราเน้นงานพ่นเคลียร์ หรือแลกเกอร์ ต้องการความฉ่ำวาว ได้ชั้นฟิล์มที่หนาแต่ไม่เยิ้ม ม่านสีขนาดใหญ่ เดินกาพ่นสีได้ไว และต้องการพ่นห่างจากชิ้นงานมากกว่า 25 ซม. เพื่อป้องกันการไหลเยิ้ม ก็ควรเลือกกาพ่นสีระบบ Medium pressure หรือ แรงดันปานกลาง ที่มีคุณสมบัติตอบโจทย์ในจุดนี้ครับ ได้แก่ได้แก่ กาพ่นสีสตาร์รุ่น SMV4F, SMV1F, XPS เป็นต้น
2.3 หากเราเน้นพ่นสีจริง ต้องการชั้นฟิล์มที่บาง มีการซ้อนทับระหว่างชั้นน้อยที่สุด (Over Spray) ต้องการกาพ่นที่ฟุ้งกระจายน้อยๆ อาจจะเนื่องมาจากพื้นที่ทำงานที่แคบ และยังต้องการประหยัดเนื้อสีแต่ยังคงจำนวนชิ้นงานที่ได้เท่าเดิม หรือได้ชิ้นงานมากขึ้นด้วยสีปริมาณเท่าเดิม ก็ควรเลือกกาพ่นสีระบบ Low pressure (HVLP) หรือ แรงดันต่ำ ที่มีคุณสมบัติตอบโจทย์ในจุดนี้ครับ ได้แก่ ได้แก่ กาพ่นสีสตาร์รุ่น EVOT4F, EVOT1F, XPSV เป็นต้น
3. เลือกจากขนาดหัวพ่น
เรื่องขนาดหัวพ่นถ้าเลือกตามมาตรฐานก็คือ สีจริง (Top coat) 1.3 มิล เคลียร์ (Clear coat)4 มิล รองพื้น (Base coat) 1.5 มิล อย่างที่ได้เล่าไปในตอนต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเคยชินที่ใช้งานมาก่อนด้วยนะครับ แต่ว่าจะมีสีบางชนิดที่ผู้ผลิตจะระบุขนาดของหัวพ่นที่เหมาะสมมา เช่น 0.5 มิล หรือ 0.8 มิล แบบนี้เราก็ควรเลืกใช้ให้ตรงชนิดของสีนั้นๆ หรือ บางธุรกิจ อย่างเช่น ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไม้ หรืองานฟอกหนัง อาจมีการใช้กาพ่นสีไปพ่นกาวอุตสาหกรรม (Sprayable glue) ซึ่งตัวนี้จะมีความหนืดและเนื้อของกาวที่หนาแน่น จำเป็นต้องเลือกกาพ่นที่มีแรงดันสูง และขนาดหัวพ่นขนาดใหญ่ (1.7 – 2.5 มิล) ได้แก่ ได้แก่ กาพ่นสีสตาร์รุ่น S106 เป็นกาถ้วยบน 600 ซีซี ที่มีขนาดหัวพ่นตั้งแต่ 1.4, 1.7, 2.0 และ 2.5 ให้เลือกใช้ หรือถ้าต้องการกาล่าง ขนาดบรรจุ 1000 ซีซี ก็สามารถเลือกใช้ได้แก่ กาพ่นสีสตาร์รุ่น S770 มีขนาดหัวพ่นขนาด 2.0 และ 2.5 ให้เลือกใช้ได้เช่นกัน
4. เลือกจากความกว้างของม่านสี
ขนาดม่านสีมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องอื่น ซึ่งขนาดม่านสีจะสัมพันธ์กับหน้างานที่เราพ่น เช่น งานพ่นชุดแต่งคาร์บอนไฟเบอร์ (Carbon Fiber) เราอาจต้องการม่านสีขนาด 15-20 ซม.ได้แก่ กาพ่นสีสตาร์รุ่น EVOT1F หรือ SMV1F เพื่อให้ครอบคลุมแต่ไม่กว้างมากเกินไป ในขณะที่งานพ่นเคลียร์รถยนต์ทั้งคัน อาจต้องใช้ม่านสีขนาด 25-30 ซม. เพื่อให้พ่นน้อยรอบ ลดโอกาสซ้อนทับของชั้นฟิล์มที่เกินจำเป็น ได้แก่ กาพ่นสีสตาร์รุ่น EVOT4F หรือ SMV4F และสำหรับงานพ่นซ่อมรอยด่าง หรือซ่อมสีเฉพาะจุด อาจจะเลือกม่านสีขนาด 7-15 ซม. ได้แก่ กาพ่นสีสตาร์รุ่น EVOT106TF หรือ S106T เป็นต้น
5. เลือกตามขนาดถ้วยบรรจุ
เรื่องขนาดถ้วยบรรจุ นอกจากขนาดแล้วเราต้องคำนึงถึงประเภทของกระบอกด้วย โดยกระบอกบรรจุจะมีการวางตัวที่แต่ต่างกันใน 3 รูปแบบหลัก ได้แก่
-
- ถ้วยข้าง (Side gravity feed) ข้อดีสามารถปรับองศาของกระบอกได้ขณะพ่น ทำให้เอียงมือ เข้าซอกมุม หรือ พื้นที่แคบได้ดี มีขนาดบรรจุ 450 ซีซี แบ่งเป็นถ้วยพลาสติกฝาเกลียว และอลูมีเนียมฝาครอบ ให้เลือกตามต้องการ ข้อเสีย หากยังไม่เคยชินอาจรู้สึกกาพ่นสีหนักข้าง เนื่องจากถ้วยอยู่ด้านข้าง และมีน้ำหนักจากปริมาณสีที่บรรจุ ส่วนมากถ้วยจะอยู่ฝั่งขวาทำให้ผู้ที่ถนัดซ้ายอาจมีปัญหาเรื่องสมดุลน้ำหนักอยู่บ้าง ได้แก่ กาพ่นสีสตาร์รุ่น S710, EVOT1F, SMV1F เป็นต้น
- ถ้วยบน (Center gravity feed) ข้อดีคือ ขนาดบรรจุ 600 ซีซี ไม่ต้องผสมสีบ่อย และไม่มากจนเหลือทิ้ง เนื่องจากถ้วยอยู่ด้านบน จึงเหมาะพ่นหน้างานกว้างๆ ให้ครอบคลุมและมีสมดุลขณะพ่นที่ดี ข้อเสีย ไม่เหมาะกับหน้างานที่ต้องเอียง เข้าซอกมุม จะทำได้ยาก เสี่ยงต่อการหกของสีได้ และหากใส่สีเต็มประบอกจะมีน้ำหนักมาก อาจเมื่อยล้าขณะทำงานได้ ได้แก่ กาพ่นสีสตาร์รุ่น EVOT4F, SMV4F, S106, XP Editions
- ถ้วยล่าง (Suction feed) หรือ ถังพร้อมสาย (Suction tank feed) เหมาะงานพ่นพื้นที่ผิวขนาดใหญ่ เนื่องจากถ้วยบรรจุมีขนาดตั้งแต่ 1,000 – 1,800 ซีซี ในบางรุ่นตัวกาพ่นสามารถแยกออกจากถังได้โดนใช้สายเคมีและสายลมต่อพ่วงออกมา ได้แก่ กาพ่นสีสตาร์รุ่น S770 และ S770-2QP (Suction tank feed)
6. เลือกตามอุปกรณ์ที่มี
หัวข้อนี้ผมอยากให้ทุกท่านที่กำลังมองหาอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานพ่นสีอีกชิ้นที่สำคัญมากๆ และค่อนข้างมีราคาสูงนั่นคือ ปั๊มลม (Air pressure) หลายคนไปซื้อปั๊มลมโดยเน้น “ถังใหญ่ๆ” เพราะคิดว่าถังใหญ่ๆ จะดี แต่ไม่เสมอไปครับ หากคุณใช้กาพ่นระบบแรงดันสูง หรือที่เรียกกันว่ารุ่นมาตรฐาน เช่น S710 หรือ S106 กาพ่นสีระบบนี้มีแรงดันที่หัวพ่นสูง และมีคุณสมบัติตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น ข้อดีหลักๆของกาพ่นแบบนี้คือ “อัตราการบริโภคลมที่ต่ำ” หรือพูดง่ายๆว่า “กินลมน้อย” นั่นเอง ดังนั้นปั๊มลมตัวเก่าที่มีอยู่ก็สามารถใช้ได้ แต่ถ้าเรากำลังจะใช้กาพ่นตัวใหม่ๆ ระบบที่ดีกว่า เช่น ระบบแรงดันต่ำ – HVLP หรือ แรงดันปานกลางก็ตาม กาพ่นสีกลุ่มนี้จะมีอัตราบริโภคลมที่สูง เพื่อไปรีดแรงดันที่หัวพ่นให้ต่ำตามคุณสมบัติที่ออกแบบมาในแต่ละรุ่น โดยสามารถศึกษาข้อมูลโดยละเอียดได้จากบทความ “กาพ่นสีระบบแรงดันต่ำ H.V.L.P. (High Volume Low Pressure) : https://brightbizs.com/hvlp/” หรือชมวีดีโอนี้นะครับ https://www.youtube.com/watch?v=hURjlUA6ARg ด้วยคุณบัตินี้ จึงจำเป็นต้องเลือกปั๊มลมที่มีกำลังผลิตลมและแรงดันที่มากพอกับความต้องการของกาพ่นชนิดนั้นๆ มาตรฐานการบริโภคลมทั่วไปสำหรับกาพ่น HVLP คือ 250-330 ลิตรต่อนาที หรืออัตราแรงม้า 2-5 แรงม้า ได้แก่ กาพ่นสีสตาร์รุ่น EVOT4F, SMV4F, EVOT1F, SMV1F, XP Editions ฯลฯ
7. เลือกตามงบประมาณ
ในหัวข้อสุดท้ายนี้ก็นับว่าสำคัญไม่แพ้ใคร บ่อยครั้งที่ลูกค้าจะถามหากาพ่นสีราคา ไม่เกิน 500 บาท ไม่เกิน 1,000 บาท หรือไม่เกิน 2,000 บาท เราก็แนะนำรุ่นมาตรฐานของเราไป จากนั้นลูกค้าคนนั้นก็หายไปพักนึง แล้วกลับมาซื้อตัวมาตรฐาน พอถามว่า ก่อนหน้านี้ใช้รุ่นไหนมาครับ เค้าก็บอกว่าไปซื้อกาจีนตามเว็บ ใบละพันกว่าบาทแต่พ่นได้ 2-3 ครั้ง เกิดสีตันบ้าง, เม็ดสีแตกบ้าง, ลมสะดุดบ้าง ที่หนักสุดคือ ม่านสีหุบๆ กางๆขณะพ่น เรียกว่างานเสียไปเลย ต้องทำใหม่ ทั้งเสียเงินและเวลา ฉะนั้นผมอยากจะขอฝากประโยคนึงไว้ให้คิดนะครับว่า “อย่าเสียเวลากับกาพ่นสีหลักร้อยอีกเลย” ขอให้มองที่มาตรฐานที่ควบคู่กับราคา จะดีที่สุดครับ
จากข้อมูลที่กล่าวไป จะพบว่าข้อดีของกาพ่นสีสตาร์ คือ มีจำหน่ายในประเทศมานานมากกว่า 20 ปี มีมาตรฐานสินค้าที่เชื่อถือได้ มีบริการหลังการขายไม่ว่าจะส่งซ่อม หรืออะไหล่เพื่อเปลี่ยนตามการใช้งาน และราคาย่อมเยาว์ครับ นอกจากของกาพ่นสีตัวมาตรฐาน รุ่น S710 แล้ว เรายังมีกาพ่นระดับพรีเมี่ยมไว้บริการได้แก่ กาพ่นสีสตาร์รุ่น EVOT4F, SMV4F, EVOT1F, SMV1F, XP Editions ในกลุ่มนี้ เมื่อเทียบโดยระบบ และประสิทธิภาพที่ผ่านการการันตีจากลูกค้าทั่วประเทศ สามารถเทียบชนกับกาพ่นสียี่ห้ออื่นที่ราคาสูงว่า 3-5 เท่าได้ดีไม่แพ้กัน โดยราคาของกาพ่นสีสตาร์รุ่นมาตรฐานอยู่ที่ 2,500 -3,500 บาท, รุ่นพรีเมี่ยม 4,000 – 5,000 บาท และ รุ่นพิเศษ 7,000 – 8,000 บาท เท่านั้น